Lush Lip Tint รีวิวคร่าวๆ กับลิปแฮนด์เมดชื่อดัง ลัช!!

Lush ลัช ... ยี่ห้อนี้ดังมาจาก Bath Bomb ครับ แต่กระนั้นก็ตาม สินค้าอื่นๆก็จัดว่าเป็นที่นิยมในตลาดมากๆ เพราะสินค้าทุกอย่างแฮนด์เมด แล้วยังมีคุณภาพที่ดีมากๆ เป็นธรรมชาติไม่เหมือนใครอีกด้วยครับ สบู่เอย ครีมเอย ทุกอย่างล้วนมีเอกลักษณ์
วันนี้ก็ขอพาชม Lip Tint ของ Lush กันบ้างครับ ราคาก็ตกที่ 275 ต่อตลับครับ ตามรูปด้านล่างเลยครับ
มีสองสีที่เอามาให้ชมกัน
1. It Started with a Kiss
2. Latte

สำหรับ It Started with a Kiss นั้น ... เนื้อจะตามรูปด้านล่างเลยครับ ดูแดงเข้มมาก แต่พอทาจริงๆแล้วสีจะอ่อนลงนิดนะครับ ไม่ได้เข้มอย่างในรูป
เป็นสีที่ทำให้ริมฝีปากอิ่มขึ้นมา และแดงแบบสด แต่ไม่ดูเว่อร์ครับ จัดเป็นสีที่สวย ... ใครไปร้านลัชก็ลองดูได้ครับ แล้วจะรู้ว่าทาแล้วเข้ากับเราไหม

และที่ภูมิใจนำเสนอคือตัวนี้ครับ Latte
ตัวนี้มีประกายมุกนะครับ แต่ลักษณะสีจะเป็นแนวนู๊ดครับ เป็นธรรมชาติ แต่ดันประสานมุก
มันเลยลงตัวไปอีกแบบหนึ่งครับ จะเรียบก็ไม่เรียบ จะเฉี่ยวก็มีเฉี่ยว สวยลึกลับน่าค้นหาดีครับ สีนี้
ส่วนตัวแนะนำว่าต้องลองครับ สำหรับ Latte
ก็ รีวิวคร่าวๆเท่านี้ครับ
ไม่ได้ใช้โดยตรง (ก็ผมผู้ชาย) แต่ยืมเพื่อนมาถ่ายรูปครับ เพราะตอนที่ลองที่ร้านกับแขน พบว่าสีสวยมากๆ เลยขอถ่ายรูป Lip Tint จากเพื่อนเพื่อมารีวิวโดยเฉพาะครับ ^ ^

ไปต่างประเทศ ใส่เสื้อผ้ายี่ห้ออะไรดูดี ราคาไม่แพง?

ประเทศไทยของเรานั้น สินค้าแบรนด์เนมหลายๆอย่าง ราคาแพงกว่าที่ขายเมืองนอกมากๆครับ
ในขณะเดียวกัน ... แบรนด์เนมบางอย่าง เมืองนอกแพงมาก แต่ในไทยราคาพอไหว ก็มี!!

ดังนั้น ผมจะมาสรุปให้ฟังคร่าวๆ ว่าแบรนด์ไหนขายราคาไม่แรงมากในไทย แต่ไปเมืองนอกใส่แล้วดูรวยดูดี มาบอกกันครับ ... แบรนด์นั้นก็คือ แบรนด์ยีนส์ Levi's ที่รู้จักกันดีนั่นเอง

Levi's ในไทยเรา ราคาก็ไม่ได้ถูกนะครับ แพงเหมือนกัน
แต่มันไม่ได้แพงโอเวอร์อะไรมากมายไงครับ แพง แต่คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้จนกรอบเป็นข้าวเกรียบ มักจะซื้อได้ ยกตัวอย่าง ราคายีนส์แบบไม่ลดราคา ก็อยู่ที่พันกว่าถึงสองพันกว่า เสื้อยืดก็แพงหน่อย แต่ก็ไม่ถึงพัน
...
แต่คุณรู้ไหม ราคา Levi's ต่างประเทศแพงพอตัว!! เกรดจะขึ้นไปอยู่อีกขั้นเลยครับ
ยีนส์ตัวละประมาณ 5,000 บาทครับ!! เสื้อนี่เกือบ 2 พัน!! ดังนั้น การใส่ Levi's ในต่างประเทศ จัดว่าดูดีพอตัวทีเดียว (เป็นการใส่เสื้อผ้าที่มีราคาครับ)
อย่างไรก็ตาม หากใครจะคิดว่าใส่แล้วดูดีระดับแบรนด์ฝรั่งเศส อิตาลีดังๆที่เป็นแบรนด์ไฮโซ ก็ขอบอกว่ายังห่างไกลจากระดับนั้นครับ ไม่ไฮโซขนาดนั้น

เอ้า สรุป!!
ไปต่างประเทศ ใส่กางเกงยีนส์ Levi's
ใส่เสื้อ Levi's
รับรอง ดูดี ไม่กระโหลกกะลาครับ ^ ^

ครีมพิษผึ้ง Bee Venom คืนเดียวหน้าเด้ง!! (จริงๆ!!)

เวลาคุณได้ยินโฆษณาพูดกันว่า ใช้ครีมนี้แล้วเห็นผลภายใน 3 วัน หรือ 7 วัน ... คนส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าโม้ โฆษณาเกินจริง ... ซึ่งมันก็เกินจริง จริงๆอ่ะนะ 555+
ดังนั้น ถ้าผมจะบอกว่า "ครีมพิษผึ้ง" เห็นผลในคืนเดียว!! มันก็คงจะดูเกินจริงไปกันใหญ่!! ... แต่ขอบอกว่า มันคืนเดียวเห็นผล จริงๆครับ!! (อ่านบรรยายก่อนครับ แล้วจะรู้ว่าทำไมเห็นผลเพียงข้ามคืน)

ครีมพิษผึ้งที่ผมใช้ เป็นครีมพิษผึ้งแท้ๆของนิวซีแลนด์ ... ตอนนี้อยู่นิวซีแลนด์ครับ มาเรียนภาษาอังกฤษ ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าผมจะมาหลอกขายครีมจีนแดงแล้วหลอกว่าเป็นครีมนิวซีแลนด์แต่อย่างใด (แล้วบล็อคผมก็ไม่ใช่บล็อคขายของอ่ะนะ 555+) ยี่ห้อก็ตามนี้ครับ Bee Venom Face Creme By Nature From New Zealand
และด้วยความที่เป็นพิษผึ้ง ... แม้จะไม่ได้ถูกต่อยเข้าไปในเนื้อ มันก็มีพิษอ่ะนะ ใครแพ้พิษผึ้ง ให้ระวังไว้เลย
ถ้าไม่รู้ควรเทสก่อนใช้ครับ โดยการทาไว้ที่แขนนิดๆหน่อยๆเป็นพอ ทิ้งไว้สัก 10 นาที ถ้ามันไม่บวมแดงเห่อขึ้นมา ก็ใช้กับหน้าได้เลยครับ
(ปล. ใครอยากอ่านสรรพคุณไวๆ ให้รีบเลื่อนไปบทความย่อหน้าล่างสุดเลย)
แพคเกจของมัน ดูดีเหมือนกันครับ
หยิบหลอดออกมา
หลอดนี้ขนาด 60 กรัมครับ
ขายในซูเปอร์มาร์เก็ต Countdown ราคา 16 ดอลล์ (หรือประมาณ 400 บาท)
สินค้านิวซีแลนด์แท้ๆ จริงๆ ตามข้างขวดครับ (ซื้อที่นิวซีแลนด์ เอาของจีนมาหลอกขายก็ไม่รู้จะว่าไงอ่ะนะ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ 555+ ที่นิวซีแลนด์ของจีนเยอะมากๆ (รวมทั้งคนจีนด้วย))
เปิดฝาออกมา
และลองทาที่แขนดูครับ ... เนื้อครีมของครีมพิษผึ้งก็ขาวๆ ธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
เมื่อทาแล้วพบว่าไม่แพ้ ก็พร้อมใช้กับใบหน้า!!

เมื่อทาบนใบหน้าปุ๊บ!! จะมีอาการแสบๆร้อนๆ (เบาๆ ไม่มาก) ที่ใบหน้าทั้งหน้าเลยครับ ไม่ใช่อาการแสบร้อนของการสารให้ความเย็นซ่าพวกเมนทอลนะครับ แต่มันชัดๆเลย ว่ามีอะไรที่ไม่ดีกำลังกัดผิวหน้าอยู่ -*- แต่ไม่ได้กัดรุนแรงเหมือนเอาน้ำมะนาวมาทาหน้านะครับ ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น
อาการแสบๆเบาๆ ก็จะหายไปภายใน 3-5 นาที ไม่นานครับ จากนั้นก็จะรู้สึกหน้าตึงทันที (หรือหน้าบวมก็ไม่รู้นะ)
จากนั้นก็นอนหลับไปเลยครับ
... ตื่นมาอีกที ริ้วรอยเอย ตีนกาเอย ยุบไปหมดครับ ยังมีเหลือบ้าง แต่ดีขึ้นจริงๆ!!
มันเป็นครีมอัศจรรย์ ที่เห็นผลภายใน 1 วันของจริงครับ!! (จะไม่เห็นผลได้ไง ก็เอาพิษผึ้งมากัดหน้าอ่ะนะ)
อย่างไรก็ตาม หลายๆคนอ่านแล้วอาจจะกลัวว่ามันจะลอกหน้าเป็นขุยๆแสบๆ แบบว่าเอากรดมาลอกหน้าหรือเปล่า (แบบที่เคยฮิตสมัยเมื่อ 10 ปีก่อน ที่คนไปทำหน้ามา จะโดนลอกจนเป็นขุยๆ)
ก็ขอบอกว่าตัวนี้ไม่แรงขนาดนั้นครับ หน้าไม่เสื่อมครับ ปกติดีทุกอย่าง แล้วก็ไม่ได้ทำให้หน้าบวมเหมือนโดนผึ้งต่อยนะครับ ... มันเบาๆครับ แค่รู้สึกว่าหน้าดีขึ้น เรียบตึงขึ้น แค่นั้นเองครับ ไม่รู้สึกเป็นพิษเป็นภัยแต่อย่างใด!!
ข้อดีสุดๆคือคืนเดียวเห็นผล ลองดูได้ครับ ไม่ดี ไม่คืนเงิน เพราะผมไม่ได้เป็นคนขาย 555+

ปล. ตามร้านของฝากจะมีครีมพิษผึ้งขายเยอะครับ (เริ่มจะฮิตกว่ารกแกะ) แต่ผมไม่รู้ว่าดีหรือเปล่า
เลยซื้อยี่ห้อในซูเปอร์มาเก็ตที่คนนิวซีแลนด์จับจ่ายซื้อของกันจริงๆมาลองครับ ... ถ้าลองอันไหน แล้วไม่ค่อยรู้สึกอะไรที่หน้า ผมว่าอันนั้นไม่ใช้พิษผึ้งแท้ครับ แล้วก็ถ้าปวดแสบปวดร้อนมากๆ ก็น่าจะกรดแล้วครับ คงไม่ใช่พิษผึ้ง

โอนิซึกะไทเกอร์ แท้ ลดราคาเหลือ 1,750 บาท!!

ตอนนี้อยู่นิวซีแลนด์ครับ เดินเที่ยวห้าง Dress Smart ซึ่งเป็นห้าง Outlet ที่นี่ (เค้าเอาท์เล็ทจริงจัง ไม่ใช่แค่ชื่อ -*-)
และตอนเดินผ่านร้านที่ขาย Onitsuka Tiger ก็พบว่า ... เค้าเอารองเท้ามาเซลล์หลายสีเลย แล้วก็ยังมีสภาพที่ดูดีไม่มอมแมมแต่อย่างใด (แต่ก็คงเก่าค้างสต๊อกด้วยแหละ) ในราคาเพียง 1,750 บาท เมื่อแปลงเป็นเงินไทย!! ที่สำคัญ ไม่ต้องกลัวว่าเป็นของปลอมด้วย
(ตามรูปครับ ราคา 70 ดอลล่าร์นิวซีแลนด์ ณ วันนี้คือดอลละ 25 บาทครับ คูณเข้าไป)

เห็นแล้วก็นึกถึงตัวเอง ตอนไปดูรองเท้ายี่ห้อนี้ที่เซ็นทรัล ปกติราคาคู่ละ 3,600 บาท (โดยประมาณ) ซึ่งก็มีเซลล์บ้างเหมือนกัน เคยเจอครับ
ราคาลดเหลือประมาณนี้แหละคือๆกัน ... แต่สภาพรองเท้ามอมมากๆ มอมเหมือนโดนใส่มาแล้ว (แต่ไม่ได้โดนใส่มาแล้วหรอก เนื้อยังเรียบอยู่)
ถ้าวันนั้นเจอยังงี้ก็อาจจะซื้อนะเนี่ย ... แต่จริงๆเราก็ไม่ได้เป็นแฟนโอนิซึกะไทเกอร์อ่ะนะ อาจจะไม่ซื้อ 555+ (คือถ้าเห็นว่าถูกก็ซื้อไง แม้จะไม่ได้เป็นแฟนยี่ห้อนี้ เหอๆๆ)

ปล. ถ้าไปดูช็อปของ Onitsuka Tiger ในกลางเมือง Auckland (ตรง Britomart) อย่าคิดว่าถูกนะครับ แพงกว่าไทยนิดๆด้วยครับ -*-

Nescafe Dolce Gusto เครื่องชงกาแฟใหม่ ไฉไลกว่าเดิม!!

มีเครื่องชงกาแฟใหม่มาแนะนำครับ ไม่รู้ว่าเข้าไทยหรือยังเพราะไม่ได้ติดตาม แต่ถ้ายังไม่ได้เข้า อีกไม่นานก็เข้าแน่ๆ เพราะรุ่นบุกเบิกสีแดง ก็ทำยอดขายได้ดีเป็นเทน้ำเทท่า รุ่นนี้ก็น่าจะฮิตไม่แพ้กัน
เครื่องชงกาแฟรุ่นนี้เป็นของเนสกาแฟเจ้าเดิมครับ ชื่อว่า Nescafe Dolce Gusto ครับ!!
จุดเด่นของเครื่องนี้ จะต่างจากรุ่นเดิมคือมีถ้วยกาแฟจิ๋วสำหรับชงกาแฟออกมาเป็นรูปแบบต่างๆโดยเฉพาะครับ เวลาซื้อก็ต้องซื้อแบบถ้วยนั้นมาใช้
อย่างในรูปด้านบนครับ จะเห็นว่ามีกาแฟ 3 ชั้นอยู่ วิธีใช้ ก็ใช้ถ้วยขาว 1 ถ้วย และถ้วยกาแฟ 1 ถ้วย (ถ้วยขาวน่าจะนมหรือครีมเทียม)
แล้วก็คงเลือก กดปุ่ม ให้มันออกมาตามต้องการ ก็เท่านั้นเองครับ

และจากในรูปล่าง จะเห็นว่าสามารถผสมได้หลากหลายครับ ชงโกโก้หรือชอคโกแลตก็ได้ครับ ใช่ว่าจะต้องเป็นกาแฟอย่างเดียว
จากในรูปด้านบน ก็ชงกาแฟได้ 6 แบบแล้ว น่ากินทุกแบบเลยครับ!!

ก็เป็นเครื่องชงกาแฟอีกรุ่นที่น่าสนใจมากๆตัวหนึ่ง แต่ไม่รู้จะขายดีเท่าหรือเปล่า เพราะดูเหมือนราคาจะแพงกว่าตัวเก่าด้วยครับ สำหรับราคาที่ผมเห็น อยู่ที่ประมาณ 3,750 บาทครับ (แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายมากนะ ราคานี้)

Onitsuka Tiger ต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นฮิตไหม?

Onitsuka Tiger - โอนิซึกะไทเกอร์ แบรนด์นี้ดังมาพักใหญ่ๆแรมปีกันแล้วในไทยเรา ... ส่วนตัวก็เลยอยากรู้ว่าต่างประเทศ ดังไหม? เป็นที่รู้จักกันแค่ไหน ก็เลยลองๆถามชาวต่างชาติที่รู้จักดู
ผลปรากฎว่า ... ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักครับ แต่ก็ไม่แปลกนะ เพราะแม้จะบอกว่าดังในไทย แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรู้จักเหมือนกันแหละ (แต่ก็ถามไม่กี่ประเทศอ่ะนะ ... เกาหลี, จีน แค่ในเอเซียนี่ล่ะ)

แต่ถามคนญี่ปุ่น ... กลับไม่รู้จักซะนี่สิ!! ถึงจะถามไปแค่ 3 คนก็เหอะ แต่นึกว่าอย่างน้อยก็น่าจะรู้จัก 555+
นอกจากจะไม่รู้จักแล้ว ยังออกแนวประมาณว่า "ไม่เคยผ่านหู" มาก่อนซะด้วย -*-
แต่พอเช็คตามเวบญี่ปุ่น ก็พบว่าฮิตพอประมาณเหมือนกันแหละ แต่มันไม่ได้ดังระดับชาติ ... Onitsuka Tiger ก็รู้จักกันเฉพาะกลุ่มที่ญี่ปุ่นครับ

สรุปแล้ว ได้ใจความว่า Onitsuga Tiger ในญี่ปุ่นก็มีชื่อ แต่เนื่องด้วยญี่ปุ่นค่อนข้างมีแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น ที่เจาะเป้าหมายเฉพาะกลุ่มค่อนข้าง "เยอะ" มากๆ เลยไม่ได้ดังมากเท่ากับต่างประเทศ เป็นงั้นไป
กลายเป็นว่า ในญี่ปุ่น แบรนด์อย่าง Nike, New Balance จะเป็นที่นิยมกว่า ถัดไปก็เป็น Adidas, Puma อะไรพวกนี้แหละครับ ที่เป็นแบรนด์สปอร์ทหน่อยๆน่ะครับ

Vaseline Petroleum Jelly ลิปมันที่ดีที่สุดสำหรับผม!!

เพิ่งไปได้ยี่ห้อลิปมันหรือ Lip Balm มาใหม่ครับ มีขายมานานแล้วแต่ผมเพิ่งได้ใช้ ยี่ห้อนี้ชื่อว่า Vaseline ครับ (วาเซลีน)
เป็นผลิตภัณฑ์ประเภท Petroleum Jelly ครับ เห็นมีขายด้วยกัน 3 แบบ คือ แดง เขียว น้ำเงิน (ถ้าจำไม่ผิด)
ผมลองซื้อสีเขียวมาใช้ครับ เป็นแบบ Aloe Vera (ว่านหางจระเข้)
เปิดมาก็ ... แบบเนี๊ยะครับ
ราคาในบ้านเรา มีคนบอกว่าซื้อมาราคา 250 บาท (แพงไปไหม -*-)
(ผมซื้อที่ต่างประเทศน่ะครับ ถูกกว่า)
แต้มออกมา ก็เนื้อเป็นแบบนี้ครับ
จากภาพที่เห็นคร่าวๆ ถ้าสังเกตุเห็น จะรู้ว่า เนื้อของมันเหลวกว่าลิปมันทั่วๆไปครับ
และด้วยที่มันเหลวกว่าลิปมันแบบแท่งๆรวมทั้งแบบตลับทั่วๆไปนั้น
ทำให้มันไม่หนักปาก และเกลี่ยได้เนียนไม่เป็นปึก ไม่รำคาญเลยครับ เป็นลิปมันที่ใช้ดีมากๆ!!
นอกจากนั้น มันยังทนมากๆด้วย ติดบนปากทนนาน ... ผมเองเป็นคนที่ปากแตกลอกบ่อยๆ แม้จะใช้ลิปมันช่วงเช้า แต่บ่ายๆ ก็เริ่มจะแห้งละ (แถมหนักปากด้วย) แต่เจ้าตัวนี้ไม่รู้หนึกรำคาญริมฝีปากเลย แล้วก็ปากนิ่มเนียนไปจนถึงเย็นเลยครับ

สำหรับคนที่ไม่ชอบลิปมันทั่วๆไป ลอง Vaseline ดูครับ แนะนำครับ น่าจะชอบ ^ ^

Your Lie in April อนิเมชั่นที่ดีที่สุดในรอบปีนี้ จบแย้วจ้าาา!!

Your Lie in April (Shigatsu wa Kimi no Uso) อนิเมชั่นยาว 22 ตอน ... ดูจบไปเมื่อกี้เองครับ ตอนสุดท้ายเพิ่งปล่อยมาไม่เกินวัน
เป็นอนิเมชั่นที่ดี สนุก เนื้อเรื่องน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากนั้น เนื้องานอนิเมชั่นเองก็ดีด้วย งานไม่ค่อยเผา ตั้งแต่ต้นจนจบเลย!!
ว่าแล้วก็วิพากย์ตอนจบแล้วเอามาลงบล็อคสักหน่อยนึง ^ ^ (รับรองว่าไม่มีสปอยล์เนื้อเรื่องจนคนยังไม่ได้ดูเสียอรรถรสแน่นอนครับ)
เริ่มต้นด้วย ... สำหรับคนที่รู้เนื้อเรื่องจากหนังสือการ์ตูนแล้ว ก็ต้องบอกว่า ไม่มีการปรับเนื้อเรื่องนะครับ ตามต้นฉบับ ... ไม่เช่นนั้น คงต้องเปลี่ยนชื่อเรื่องอ่ะนะ เพราะ Your Lie in April ก็คือตอนจบนี่เอง
... แม้จะมีหลายๆคอมเมนต์ในหลายๆบอร์ด อ้อนวอน พลีส ขอให้เปลี่ยนตอนจบให้ต่างจากในหนังสือก็ตาม (ขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้)
...
... อุ๊บส์!! ... ว่าแต่ ... พูดมาเท่านี้ ต่อให้ไม่เคยอ่านการ์ตูน หลายๆคนก็คงเดาตอนจบได้แล้วมั้งเนี่ย 555+
ที่ถูกใจอย่างนึงก็คือ เพลงที่ Arima เอามาเล่นในตอนจบคือเพลงที่ผมชอบมากที่สุดพอดี!! นั่นก็คือ Chopin Ballade No.1
แล้วก็เป็นเวอร์ชั่นที่เล่นได้ถูกใจมากๆพอดี ไม่รู้ว่าทีมงานอนิเมฯหาใครมาเล่นให้ (ดีจนอยากจะเอาท่อนไวโอลินออกเลยล่ะ แต่แฟนอนิเมฯได้ยินแบบนี้คงเคือง 555+)
แต่ถ้าถามว่าใน Youtube เวอร์ชั่นไหนที่ผมชอบสุด ก็ต้องบอกว่า Chopin Ballade No.1 ที่เล่นโดย Krystian Zimerman ครับ หาฟังกันได้
ดูจนจบแล้วก็ ... สงสาร Watari นะครับ (ถ้าสงสารคนอื่น ก็จะดูเป็นการสปอยล์เกินไป 555+) เหมือนเป็นหนึ่งในตัวหลัก แต่จริงๆคือตัวประกอบแท้ๆเลยครับ
เป็นตัวประกอบทั้งจากคนแต่งเรื่อง และเนื้อหาในเรื่องก็เหมือนโดนมองเป็นตัวประกอบจริงๆเลยล่ะ ^ ^"
จนตอนจบ ยิ่งย้ำให้ Watari เป็นตัวประกอบมากยิ่งขึ้น -*-
สรุปก็คือ ... โพสต์ลงบล็อคเพื่อจะอวยก็แค่นั้นเองครับ ตอนจบ สรุปออกมาเคลียร์มากๆ (แม้หลายๆคนจะรับไม่ได้ 555+)
เป็นอนิเมชั่นที่ดีที่สุดในรอบปี คาดว่าสาวกสาวๆคงน้ำตาร่วงกันเป็นทิวแถวหลายๆฉาก (ดูจบ ก็อ่านคอมเมนต์จากคนเพิ่งดูจบ มีแต่คนมาเมนต์พร้อมทำหน้าแบบนี้ TT_TT)
ภาพทำดี แม้เนื้อหาจะไม่ใช่การ์ตูนแอคชั่น แต่ฉากที่ต้องอาศัยสปีดและการเคลื่อนไหวที่มีการเปลี่ยนมุมกล้องมากๆ ก็ทำได้ดี (อย่างเช่นฉากเปิดตอนที่ Aiza เปรียบเทียบ Arima เป็น Hero)

ถ้ามีค่ายไหนซื้อลิขสิทธิ์มา จะซื้อมาเก็บแน่นอนจ้า (แม้จะดูแล้วก็ตาม 555+)

ปล. ถ้าให้จัดอันดับอนิเมฯในใจเป็นการส่วนตัว เรื่องนี้ก็อันดับ 3 ครับ
1. Fullmetal Alchemist: Brotherhood
2. Steins;Gate
3. Your Lie in April
... แต่ถ้าเจาะแค่แนวดราม่า ผมก็ให้ Your Lie in April อันดับหนึ่งแหละ เพราะว่ามันไม่ใช่แค่เอาแต่ดราม่า แต่มีความน่าติดตาม ลุ้น และสนุกสนานปะปนเข้ามาได้เป็นอย่างดี ^ ^

Lucas' Papaw Ointment หลอดฮิตสำหรับเหล่าคนดัง!!

Lucas' Papaw Ointment เป็น Ointment ซึ่งเนื้อก็จะเหมือนๆคล้ายๆปิโตรเลียมเจลลี่พวกวาสลีนอะไรพวกนี้ครับ โดยจะหนึบๆหน่อย
แต่เจ้า Lucas' Papaw Ointment นี้ ดังขึ้นมาได้ก็เพราะว่ามันฮิตมากๆในเหล่า Celebrities ทั้งหลายแหล่ ประหนึ่งว่าเปิดกระเป๋าคนดังเป็นต้องเจอยี่ห้อนี้ครับ (เพื่อไม่ให้เข้าใจผิด ของบอกว่าเกระเป๋าเซเลบต่างชาตินะครับ ไม่ใช่เซเลบไทยที่มีสปอนเซอร์ส่งให้ใช้!! ^ ^)
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสให้ใช้ ก็ต้องลองใช้ดูหน่อย ว่าเจ้า Lucas' Papaw Ointment มันดีแค่ไหน ดีอย่างไร ... แบบว่าลองตามกระแสดูน่ะครับ 555+
จุดเด่นของมันหลักๆก็คือ ... มีส่วนประกอบของมะละกอ Carica แค่นั้นจริงๆครับ!!
เจ้าของยี่ห้อ เค้าก็ไม่เคยบอกนะ ว่ามีส่วนประกอบเลอเลิศอะไร มีแค่เจ้าตัวนี้จริงๆครับ

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม มันกลับมีสรรพคุณหลากหลายมาก โดนลวก โดนร้อน เป็นแผล ผิวแตก ผิวแห้ง แมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยได้หมด!!
และที่มันดัง ก็เพราะว่า คนส่วนใหญ่บอกว่าใช้แล้วได้ผลดีแทบจะทุกแบบ
บางคนทาขอบตาคล้ำ ก็หายคล้ำ ... เว่อร์ไปไหม หรือว่า Placebo effect กันแน่?

เอาเป็นว่า ดีจริงไม่จริงไม่รู้ แต่คนดังใช้กันเยอะจริงๆ ค่อนข้างดังพอควรครับเจ้าตัวนี้
ผลิตจากออสเตรเลีย ราคาปกติประมาณ 275 บาทต่อหลอดครับ

ลองเปิดใช้ดู ... มีซีลผนึกไว้
บีบออกมา จะได้เจบคล้ายๆวาสลีนครับ ไม่มีรสไม่มีกลิ่นเลยแม้แต่นิดเดียวครับตัวนี้
ก็ ... ไม่รู้จะลองใช้กับอะไรครับ จะลองกับขอบตาคล้ำก่อนแล้วกัน เหอๆๆ
(ผมคงไม่ลงทุนโดนมีดบาด หรือโดนสัตว์กัดต่อยอ่ะนะ)
ดังนั้น ตอนนี้บอกไม่ได้้จริงๆว่าเจ้าตัวนี้ดีแค่ไหน เหอๆๆ
ใช้แล้วได้ผลอย่างไร จะมาบอกต่อกันอีกทีครับ ^ ^

วิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม มีแบบละลายน้ำดื่มแล้วนะเออ!!

Vitamin C 1,000 mg เป็นหนึ่งในอาหารเสริมสวยยอดฮิตอีกตัว ที่สาวๆที่ต้องการผิวสวยนิยมกันมาก (แม้แท้จริง จุดประสงค์คือเสริมภูมิต้านทาน)
แต่ทว่า ... กับคนบางคน มันก็ลืมกินกันได้บ่อยๆ ก็เลยไม่สวยซะที ... ดังนั้น ตอนนี้มีทางเลือกใหม่มาให้ครับ!!
วิตามินซีละลายน้ำ!! ละลายน้ำแช่เย็นแทนน้ำดื่ม ไม่มีลืมแน่นอนครับ 555+ (เลียนแบบพวกที่ละลายคลอโรฟิลแช่เย็นแทนน้ำดื่มไง)

หน้าตาของมันก็แบบนี้ครับ เป็นขวดๆแท่งๆ ขวดนึงมี 20 เม็ด เม็ดละ 1,000 มิลลิกรัม (แต่นอกจากวิตามินซี ก็ได้วิตามินตัวอื่นด้วยนะ)
และในหนึ่งเม็ด ก็จะได้สารอาหารดังนี้ครับ ขวดมันกลมอ่ะ อยากให้เห็นว่ามีวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม เห็นกันป่าวเอ่ย?
นำออกมา จะเป็นเม็ดกลมๆใหญ่ๆแบบนี้ครับ
ไม่ต้องทำไรมาก จับใส่น้ำเลยครับ ไม่ต้องคนให้เข้ากัน ไม่ต้องเขย่า มันแตกตัวเป็นฟองฟู่ ... ไม่นานก็หมดเม็ดครับ ... ดังนั้น จับเม็ดโยนใส่น้ำดื่มไปเลยครับ ถ้าวันนั้นกินน้ำหมดขวด ก็ได้ครบ 1,000 มิลลกรัมละ ... ต่อให้กินแค่ครึ่งขวด ก็ได้ถึง 500 mg ซึ่งก็เพียงพอแล้วล่ะ เอาจริงๆ
เป็นไงครับ วิธีกินวิตามินซี 1000 มิลลิกรัมแบบใหม่ แบบไม่ต้องกลัวลืมกินแบบเม็ด ^ ^
ไม่รู้เหมือนกัน ว่ามีร้านยาที่ไหนมีแบบนี้ขายหรือเปล่า หรือว่าต้องหาซื้อที่ไหน
ผมไปได้มาจากใน supermarket countdown ที่นิวซีแลนด์มาน่ะครับ

รีวิวรองเท้า Skeshers Go Walk โด่งดังในเรื่องความเบาสบาย!!

Skeshers สเคชเชอร์ส เป็นแบรนด์รองเท้าที่กำลังบูมและเป็นที่นิยมที่แบบว่าโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ในตอนนี้ครับ
จุดเด่นของรองเท้ายี่ห้อนี้ ไม่ใช่ดีไซน์ที่เก๋ไก๋ยูเรก้ากว่าใคร (แต่ก็ดีไซน์ไม่เหมือนใครด้วยนะ) แต่กลับเป็นเรื่องของความเบาสบาย ที่บอกกันปากต่อปาก จากรองเท้าสเคชเชอร์ยี่ห้อนี้ครับ
ดังนั้น ใส่ดีหรือไม่ดี คุณสามารถไปลองได้ทันทีที่ร้านรองเท้า Skeshers เลยครับ ว่ามันเบาสบายจริงไหม? ดีกว่ายี่ห้ออื่นๆอย่างๆไร? แต่ก็เห็นยี่ห้อดังๆเริ่มเลียนแบบบ้างแล้วนะครับ สำหรับพื้นโฟมและเนื้อผ้าแบบเดียวกัน เช่น Nike ผมเห็นรุ่นนึง เหมือน Skeshers มากๆ

สำหรับรุ่นที่เอามารีวิวให้ดูคร่าวๆนี้ ก็คือรุ่น Skeshers Go Walk Original ครับ ซึ่งเป็นรองเท้าประเภท Unisex ผู้หญิงหรือผู้ชายจะใส่ก็ได้ ใส่แล้วสบายเท้าเหมือนกัน!!
แต่สีสันกล่อง หวานแหววมาก
เปิดออกดู ก็พบรองเท้าอยู่ข้างใน ... (มันก็ต้องแหงอยู่แล้ว)
หยิบออกดู ... คู่นี้ค่อนข้างลายพร้อยเหมือนกัน ถ้าคุณชอบเรียบๆก็มีนะครับ มีทั้งแบบสีเรียบๆแล้วก็สีแหว๋วๆ น้ำเงินเข้มๆ กรมท่า หรือจะฟ้าหรือชมพูสดใส ก็มีครับ สำหรับ Skeshers Go Walk รุ่นนี้
ให้ดูเนื้อผ้าและพื้นรองเท้าแบบซูมๆครับ เค้าบอกว่าเป็นพื้นโฟมซึ่งนุ่มสบายเท้ามากๆ
จุดเด่นของรองเท้าก็คือ จับหักจับงอได้เลยครับ มันเลยกระชับเข้ารูปกับเท้าเราได้ทุกท่วงท่าการเดิน จึงทำให้เบาสบายและเป็นที่นิยมมากๆนั่นเองครับ

ปล. คู่นี้ไม่ได้ซื้อเองครับ ยืมเพื่อนมารีวิว 555+

โปรเจคเตอร์ Epson แบบทัชสกรีน ล้ำมากอ่ะ!!

ไม่รู้ว่าแถวบ้านเรามันบ้านนอกหรือเปล่านะ แต่ไปเรียนภาษาอังกฤษที่คลาสแห่งนึง พบว่า เค้าใช้เครื่องฉายโปรเจคเตอร์ ที่ฉายออกมาแล้ว มันเป็นทัชกรีนที่จอที่ฉายด้วยอ่ะ!
ทำให้ครูสามารถสอนและทัชกรีนที่แบคกราวด์ได้เลย แถมยังมีปากกาที่เอาไว้เขียนที่แบคกราวด์โดยเฉพาะอีกต่างหาก!! รู้สึกว่าล้ำดี ทันสมัยไฮโซ ก็เลยเอามาลงบล็อคฝากไว้ให้ดูกัน

หน้าตามันเป็นแบบเนี๊ยะครับ Epson Touch Screen Projector
คือ เครื่องมันอยู่ด้านบนด้วย ทำให้ไม่เกะกะด้วยครับ ไม่ต้องกังวลว่าอะไรจะขวางหรือจะบังเลย

แล้วก็อย่างที่บอกครับ ที่มันฉายมา เราจับขยาย หรือย่อ ได้เหมือน Touch Screen ของโทรศัพท์มือถือ Smartphone เลย!
ปากกาพิเศษก็เขียนแทรกได้เลย (ติดแค่ที่ฉายสไตล์นะ แต่ไม่ได้ติดจริง ซึ่งลบหรือเขียนใหม่ได้สะดวกมากๆ ดีกว่าชอล์กเยอะแยะ
ก็ ไม่รู้จักเหมือนกันครับ ว่าเครื่องนี้ชื่อรุ่นอะไร เรียกว่าอะไร รู้แต่ว่าของเอปสัน แล้วก็ทัชสกรีนได้ เท่านี้อ่ะครับ ใครสนใจ ลองไปตามหาดูเองน้อ ^ ^

Jagabee จากาบี้ มันฝรั่งแท้ กรอบทั้งแท่ง!!

Jagabee จากาบี้ คือขนมจากคาลบี้ (Calbee) ที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงพอตัว
แต่จริงๆแล้ว มันไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยครับ มันคือ French Fried หรือ Chips ซึ่งก็คือมันฝรั่งแท่งเท่านั้นเอง!
ทว่า จุดเด่นของมันก็คือ มันเอามาทำเป็นขนม แล้วมันก็ "กรอบทั้งแท่ง" เลยครับ (ทอดกินปกติ เดี๋ยวมันก็นุ่มไม่กรอบครับ ชอบกรอบๆ ต้องลอง Jagabee)

และนี่คือหน้าตากล่องจากาบี้ครับ
ภายในจะมีซองย่อยๆอยู่อีก ทำให้แกะกินได้หลายที ไม่ต้องรีบกินหมดครับ
และภายในก็คือ มันฝรั่งแท่งดีๆนี่เองครับ
หน้าตาแบบเนี๊ยะ ... แต่มันฝรั่งแท้เลยนะครับ ไม่ใช่แป้งเอามาทอดเป็นรูปแท่ง
หากจะถามว่ารสชาติเป็นอย่างไร ก็ขอตอบว่าผมชอบนะ อร่อยดี เป็นมันฝรั่งแท่งที่กรอบทั้งอัน ผมชอบกินแบบนี้แหละ แต่ถ้าให้เทียบกับทอดสดๆใหม่ๆ ผมว่าทอดสดใหม่โดยใช้มันฝรั่งจริงๆ ไม่ใช่แช่แข็ง ... จะอร่อยกว่านะ ... แต่กรณีนั้น ต้องทอดเสร็จใหม่ๆจริงๆ และหากินก็ไม่ค่อยจะได้ครับ ดังนั้น ตัวเลือกอย่าง Jagabee จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่ว่าจะกินเมื่อไหร่ กินที่ไหน ก็อร่อยทั้งนั้นครับ ^ ^

Samsung Galaxy S6 และ S6 edge เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว!!

เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ Samsung Galaxy S6 และ S6 edge
ซึ่งเรื่องของรีวิวนั้น คงต้องรอกันอีกนิด (ขาดว่าไม่นานครับ เรือธงของซัมซุงทั้งที เดี๋ยวก็มีรีวิวร้อนๆละเอียดๆโผล่มาแน่นอน)
แต่ถ้าเป็นสเปคคร่าวๆและหน้าตาละก็ ... ชมกันจากคลิปวิดีโอนี้ได้เลยครับ!!
ชมคลิปแล้ว ก็มาวิจารณ์กันหน่อยดีกว่า ว่ามีอะไรเด่นขึ้นมาบ้าง ดีกว่า Samsung Galaxy S5 อย่างไร?

1. รูปร่าง
เรื่องรูปร่าง S6 ก็เหมือนๆเดิมครับ ดูเผินๆไม่เห็นความแตกต่างแน่นอน เมื่อเทียบกับซัมซุงรุ่นอื่นๆ 555+
แต่ตัวที่เด่นก็คือ S6 edge ครับ ตัวนี้เด่นมากในเรื่องรูปร่าง เพราะหน้าจอ ไมีส่วนโค้งตรงขอบนิดนึง(ซ้ายและขวา) ดูล้ำมากๆครับ ซึ่งประโยชน์ของมันคืออะไรไม่รู้ แต่มันดูล้ำดีครับ

2. ถ่ายรูป
เด่นกว่ากล้องเรือธงรุ่นอื่นๆพอตัวครับ กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล ... บางคนอาจจะงง ว่าเด่นกว่าเรือธงยี่ห้ออื่นอย่างไร?
ก็ขอบอกว่า กล้องเค้า F1.9 ทั้งกล้องหน้าและหลัง!! (เรือธงอื่นๆให้แค่กล้องหลัง) ดังนั้น ขาเซลฟี่ร้อนกรี๊ดแน่นอน!! ได้ F1.9 หน้าสวยใสทุกสภาพแสงโดยไม่ต้องพึ่งพาแฟลชที่ทำให้หน้าเด้ง

นึกออกแค่สองข้อครับ 555+
ที่เหลือยังไม่รู้ว่ามันโดดเด่นอะไรยังไง ก็มีอะไรล้ำๆอยู่นะ แต่ล้ำในด้านลูกเล่นมากกว่าเรื่องใช้งานจริงครับ ยังไงต้องลองสัมผัสกันอีกทีครับ
แน่นอนว่า ต้องมีการปะทะกันแน่นอนระหว่าง Samsung Galaxy S6 และ S6 edge กับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus
จัดมาสองรุ่นเหมือนกันเลย กะชนกันเห็นๆ 555+

รวมของถูกที่ Auckland, New Zealand

ตอนนี้กำลังเรียนภาษาอังกฤษคอร์สระยะสั้นที่ ELA, University of Auckland นิวซีแลนด์ครับ
รู้สึกว่าของหลายๆอย่างแพงมาก ของกินนี่นึกเลยว่านั่งกินฟูจิจานแพงทุกวัน ... คือส่วนใหญ่อาหารมื้อนึงจะราคาคิดเป็นเงินไทยก็ 250 บาทน่ะครับ
ดังนั้น หากผมไปเจออะไรราคาถูกๆใน Auckland, New Zealand ก็จะเอามาบอกมาเล่ากันนะครับ (คือวันนี้เจอแล้วหนึ่งอย่างเลยเอามาเล่า 555+)

1. สเลอปี้ที่ร้าน Burger King (ในนิวซีแลนด์เรียก Frozen Cola หรือ Frozen Pink)
ตัวนี้ราคา 1 ดอลล่าร์ครับ ถูกกว่าน้ำเปล่าที่นั่น ... คิดเป็นเงินไทยก็ 25 บาท พอๆกับสเลอปี้ในเซเว่นบ้านเราครับ

2. น้ำหอมลดราคาที่ Smith + Caughey's
ต้องเฉพาะที่ลดราคานะครับ ราคาของน้ำหอมยอดนิยมแบรนด์ดังๆ ถ้าได้ลดราคาที่ร้านนี้ (แต่เป็นเฉพาะช่วงนะครับ) แบบขวด 50 ml ราคาจะถูกกว่าหรือเท่าๆกับ 30 ml ในไทยเลยล่ะครับ

3. รองเท้าผ้าใบแบรนด์ พวก New Balance, Nike ราคาเท่าๆไทย ถูกกว่านิดๆครับ ไม่มาก แต่ข้อดีคือมีให้เลือกเยอะ และเมื่อไหร่ที่ "ลดราคา" ก็จะถูกกว่าไทยเยอะทันที ... แนะนำว่ารอลดราคาครับ

ตอนนี้ก็เพิ่งนึกได้สองสามอย่าง นึกได้อีก หรือเจออีก จะมาพิมพ์เพิ่มนะครับ

ซอสพริกอร่อยสุด ต้อง Hot! Samoan Boys Chilli Sauce

คาดว่าหลายๆคนคงเคยเห็นกันมาบ้าง กับซอสพริกขวดเล็กๆแต่แพง ยี่ห้อ Hot! Samoan Boys Chilli Sauce อันนี้ มีขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง (คิดว่านะ)
สาเหตุที่แพงก็เพราะเป็นซอสพริกนำเข้า มาจาก Samoa (หลายๆคนคงไม่คุ้นชื่อนี้) แต่มันก็ไม่ได้แพงเว่อร์อะไรครับ ซื้อหาลองกันได้
จุดเด่นก็คือ มัน "เผ็ดกว่า" ซอสพริกในไทย และ "หอมพริก" มากกว่าครับ (อย่างไรก็ตามระดับความเผ็ด ก็จัดว่าสบายๆสำหรับคนไทยล่ะนะ)

นี่ครับ หน้าตาของ Hot! Samoan Boys Chilli Sauce
กินแล้วก็แบบว่า ซอสพริกอันนี้ มันสูตรเดียวกับซอสพริกบ้านเราดีๆนี่เองครับ
แต่ซอสพริกบ้านเรา กินแล้วงงว่าทำไมไม่เผ็ด (ทั้งๆที่อาหารบ้านเราเน้นความเผ็ดร้อน แต่ซอสพริกมีแต่หวาน 555+) ผมเดาเอาเองว่าอาจจะเกี่ยวกับสัดส่วนพริกที่ใช้และพันธุ์พริกด้วย
ดังนั้น ใครอยากกินซอสพริกที่เผ็ดจริง
ก็แนะนำนี่แหละครับ ... ผลิตจาก Samoa ตามรูป
ปล. ใครไม่รู้ว่า Samoa อยู่ไหน ก็ขอบอกว่าอยูในมหาสมุทรแปซิฟิกครับ หางๆอินโดนีเซีย บนๆนิวซีแลนด์กับออสเตรเลียครับ