รีวิว Skinfood Peach Sake Pore Serum เซรั่มลูกพีชจากสกินฟู้ด

Skinfood Peach Sake Pore Serum เป็นซีรั่มบำรุงผิวกลิ่นลูกพีชตามชื่อครับ แต่ Sake นี่เอ๊ะ หมายความว่าอย่างไร? สาเก ... เหล้า? -*-
คืองงๆว่าลูกพีชมันก็ดูดีอยู่แล้ว แต่เอาสาเกมาทำไม? ... คิดไปคิดมา คิดไม่ออก ... สรุปคือ สาเก มันคงมีดีอะไรกระมัง!! (มาริโอ้ยังใช้ครีมจากเม็ดกาแฟเลย ทำไมเหล้าจะมีดีบ้างไม่ได้)
เจ้า Peach เนี่ย ทาง Skinfood เค้าปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมาหลายอย่างนะ แล้วก็เหมือนจะขายดีด้วย
ตัวรุ่น Skinfood Peach Sake Pore Serum ก็เหมือนจะเป็นรุ่นบุกเบิกของทาง Skinfood ที่สร้างชื่อตั้งแต่ยังไม่ดัง จนดังมากๆสำหรับแบรนด์เกาหลีในตอนนี้เลย (มั้ง) ครับ

ว่าแล้วก็มาลองใช้กันเลยดีกว่า ... เทออกมา ... สีขาวนวลออกมาเลย -*- (ได้ยินชื่อซีรั่ม นึกว่าจะใสๆ)
แต่พอทาแล้ว ... ก็สมชื่อซีรั่มนะครับ มันไม่เหนอะหนะเลย!! (แต่ตอนแรกเห็นสีแล้ว นึกว่าจะเหนอะหนะ -*-) มันมีเนื้อที่สมกับเป็นซีรั่มครับ แต่มันจะเหลวกว่า เหมือนมีน้ำเยอะน่ะครับ ใช้นิดเดียวก็ทาได้ทั่วใบหน้าและลำคอได้ง่าย ไม่ต้องใช้เนื้อครีมเยอะครับ

ใช้เสร็จปุ้บ เหมือนมันเคลือบหน้าเบาๆจางๆ สัมผัสที่หน้าแล้วจะเนียนเรียบและลื่นนุ่มมากๆ สัมผัสแรกนับว่าดีทันทีที่ใช้ครับ แต่ก็มีส่วนที่ไม่ชอบคือ เหมือนมันมีอะไรเคลือบๆหน้าอ่ะ (แต่ไม่มันนะ ลื่นนวลมากๆ) แต่คาดว่าสาวๆส่วนใหญ่ชอบอ่ะครับ ฟีลลิ่งแบบนี้ เพราะถึงมันจะเคลือบ แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดี คล้ายๆโบ๊ะเครื่องสำอางค์ดีๆ ไม่หนักหน้าน่ะครับ
ใครสนใจก็หาลองได้ครับ ผมว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีตัวหนึ่งของ Skinfood ครับ ^ ^

รีวิว Skinfood Broccoli Cleansing Foam โฟมล้างหน้าบร็อคโคลี่ของสกินฟู้ด

Skinfood Broccoli Cleansing Foam สกินฟู้ดบร็อคโคลี่คลีนซิ่งโฟม ... เป็นอีกตัวแถมที่ได้มาจากช้อปสกินฟู้ดที่ผมเอามารีวิวครับ
ตัวนี้ บอกก่อนเลยว่าอ่านเผินๆ จะเหมือนมันไม่ดี!! แต่เจ้าตัว Skinfood Broccoli Cleansing Foam นี่แหละครับ ที่เป็นตัวพิสูจน์ความแน่!! ของแบรนด์เกาหลีสกินฟู้ดได้เป็นอย่างดีเลยครับ!!
จากหน้าซอง sample size ของมันครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาเกาหลีไปหมด
ที่ว่า 90% น่ะ ... 90% ของอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะนะ ^ ^" (รู้แค่ว่าเป็นโฟมล้างหน้าบร็อคโคลี่เป็นพอ)

พอเทเนื้อโฟมออกมา ก็เอิ่มนะ ... ก็เนื้อขาวๆธรรมดาๆ ตกลงมีส่วนผสมของบร็อคโคลี่จริงป่าวเนี่ย คงไม่ใช่ว่าเอากลิ่นบร็อคโคลี่มาใส่เฉยๆหรอกนะ (ตอนแรกที่เทเนื้อครีมออกมา คิดยังงั้นอ่ะ)
แต่พอลองใช้แล้ว
... แม่เจ้า!! ... นี่มันโฟมล้างหน้าอะไรเนี่ย กลิ่นเขียวๆเปรี้ยวๆ ไม่ได้เรื่องเลยครับ!! แต่เพื่อรีวิวให้สิ้นสุด ก็ต้องใช้มันล้างหน้าให้เสร็จ ก็ถูไป ล้างไป ... ล้างด้วยน้ำ ... อื้มมม ใช้ได้นะเนี่ยตัวนี้ หน้ารู้สึกสะอาด แบบสดชื่น ... โอเคดีทีเดียว จะมีข้อเสีย ก็เสียตรงกลิ่นอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม เจ้ากลิ่นแปลกๆของโฟมล้างหน้าตัวนี้นั้น ส่วนตัวกลับมองว่าเป็นข้อดีครับ
เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังใช้ผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมจากธรรมชาติจริงๆอยู่น่ะสิครับ คือถ้ามันปรุงแต่งเยอะล่ะก็ กลิ่นมันต้องไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ ... ดังนั้น ผมคาดเดาเอาเองว่า เพื่อให้ได้ส่วนผสมที่ดี ทาง Skinfood จึงไม่ได้แคร์เรื่องกลิ่นมากนั่นเอง!! ดังนั้น กลิ่นแปลกๆ จึงอาจจะมองในแง่บวกเอาได้เหมือนกันครับ ว่าเพราะเหตุใดมันจึงมีกลิ่นเช่นนี้

ปล. กลิ่นมันก็ไม่ได้แย่นะ หมายถึงว่าไม่ได้เป็นกลิ่นที่น่ารังเกียจอะไรหรอก แต่มันคาดไม่ถึงไง ว่าจะทำโฟมล้างหน้ากลิ่นแบบนี้ ปกติต้องพรมน้ำหอมมาอย่างหอมเลย ประมาณนั้น พอเป็น Skinfood Broccoli Cleansing Foam กลับแตกต่างน่ะครับ

รีวิว Koto no ha no niwa - ยามเมื่อฝนโปรยปราย DVD

ได้ DVD อนิเมชั่นสวยๆของ TIGA มาอีกเรื่องครับ ซึ่งก็เป็นการ์ตูนอนิเมชั่นที่มี Shinkai Makoto เป็นหนึ่งในทีมสร้างน่ะล่ะครับ ซึ่งใครตามงานชื่อนี้อยู่ จะนึกออกว่าภาพจะสวยมากๆ
สำหรับ Koto no ha no niwa นี้ ก็นับว่าไม่ผิดหวัง สมกับเป็นผลงานหลังจากสร้างชื่อจากงานอย่าง 5 centimeters per second ที่ทำได้ดีกว่าของเดิม (เฉพาะด้านภาพนะ) แต่สำหรับเนื้อเรื่อง ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่คนจะชอบล่ะนะครับ ส่วนตัวมองว่า Koto no ha no niwa ดูง่ายกว่า เข้าใจง่ายกว่า และก็เดาเนื้อเรื่องง่ายกว่า ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย พล็อตเดิมๆไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่จุดเด่นคือทำเรื่องง่ายๆไม่ซับซ้อนให้คนดู มีอารมณ์ร่วมตามนี่แหละ ถึงยังจัดว่าเจ๋ง (แต่จะว่าไป 5 centimeters per second ก็ไม่ได้ซับซ้อนนะ แต่การดำเนินเรื่องจัดว่ามีความแปลกใหม่อยู่บ้าง) ซึ่งก็คือว่าคอโรแมนซ์ น่าจะชอบครับ
แต่ที่จะรีวิวให้ดู ไม่ได้รีวิวเนื้อเรื่องครับ เพราะไม่ได้เชี่ยวชาญทางนี้
แค่เอาแพกเกจ DVD ของ Koto no ha no niwa มาให้ดูกันเฉยๆ ว่าทาง TIGA ทำออกมาเป็นยังไงบ้าง
เผื่อนักสะสมที่ชอบผลงานของ Shinkai Makoto จะอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร (แต่จริงๆนอกจาก Shinkai Makoto แล้ว ก็ต้องอย่าลืมผู้กำกับอย่าง Tsuchiya Kenichi และ Takiguchi Hiroshi เช่นกันครับ)

หน้าปกก็โชว์ภาพการไล่สีของต้นไม้ได้ดี ซึ่งภาพสไตล์แบบนี้แฟนๆของ Shinkai Makoto จะคุ้นตาดีอยู่แล้ว เพราะเค้าทำภาพแบบนี้ให้กับอนิเมชั่นทั้งเรื่องเลย

ปล. เค้าบอกว่าเรท 13+ ครับ จริงๆเนื้อหาไม่ได้มีอะไรมากมายเลยครับ แค่ผู้ชาย(เด็กกว่า)ไปรักสาวแก่กว่า ก็เท่านั้นเอง ... แต่ก็นะ สังคมไทยยังจัดแนวคิดแบบนี้ไว้ในเรท 13 อัพครับ (แต่ผมก็โอเคนะ ไม่ได้จัดไว้ที่ 18+ ^ ^)
เอากล่องปกออกมา ก็เจอกับกล่อง DVD ด้านใน ที่ใช้ปกรูปเดียวกัน
ข้างในจะมี DVD อยู่ 1 แผ่น และอีก 1 แผ่น เป็น Audio CD ครับ รวมดนตรีประกอบในอนิเมฯครับ
ซึ่งผมมองว่าไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่มี เพราะเค้าขายราคาเท่าดีวีดีปกติ (ทั้งๆที่เป็นอนิเมฯยาวแค่ 40 กว่านาที -*-)
และของแถมภายในกล่องที่มีอีกก็คือ โปสการ์ด 4 ใบ เป็นภาพจากในหนังนั่นแหละครับ
พร้อมด้วย Booklet ที่มีการแนะนำตัวละคร (ไม่รู้จะแนะนำทำม้ายยย ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนให้ต้องโยงใยกันสักนิด ... แต่ก็นะ สำหรับแฟนๆอนิเมฯ มีก็ต้องเรียกว่าดีกว่าอยู่แล้ว ^ ^ มันดูน่าสะสมดี)
มีการสัมภาษณ์และความเห็นของ Shinkai Makoto เกี่ยวกับการทำอนิเมชั่น Koto no ha no niwa ด้วยครับ
ก็จัดว่า TIGA ทำแพกเกจออกมาได้ดี น่าเก็บน่าสะสมอยู่ครับ เสียนิดเดียวตรงที่ไม่มี Sub Eng มีแต่ไทยครับ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะเราคนไทย เหอๆๆ ^ ^
ข้อเสียก็คงจะมีอย่างเดียว ซึ่งเป็นที่ตัวอนิเมชั่นเอง ไม่ได้เป็นความผิดของ TIGA คืออนิเมฯมันยาวแค่ 40 กว่านาที มันเลยรู้สึกดูไม่จุใจ ดูแป๊บเดียว อ้าวจบแล้วเหรอ? แต่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีปมอะไรนะ กระชับฉับไว ไม่มีปัญหาครับ ^ ^

รีวิวหาดทรายขาว เกาะช้าง (White Sand Beach - Koh Chang)

หาดทรายขาวเกาะช้าง เป็นหาดทรายที่เค้าว่ากันว่า "สวยที่สุด" บนเกาะช้าง เป็นหาดทรายที่มีหน้ากว้างยาวเป็นกิโลครับ
นอกจากนั้น แหล่งความคึกคักของเกาะช้าง เค้าก็ว่าต้องที่นี่แหละครับ ที่พักเยอะที่สุดก็ที่นี่ มีทั้งแบบบังกะโล โรงแรม รีสอร์ท ทั้งหรูทั้งธรรมดา ไปจนถึงแบบถูกๆ ... ก็เลยขอพาชมชายหาดทรายขาวและบริเวณคร่าวๆให้ดูหน่อยครับ ว่ามีอะไรดีบ้างที่นี่ ^ ^
จากภาพด้านบน เป็นภาพที่ถ่ายตอนอากาศดีๆ ในช่วงปลายเดือนมีนาคมครับ ซึ่งก็เป็นช่วงที่นิยมเที่ยวทะเลตะวันออกอยู่เหมือนกัน
ถ้าถามว่า หาดทรายขาว "สวยไหม?" ก็ต้องตอบว่าสวย!!
แต่!! มันยังไม่สมชื่อเท่าไหร่ เพราะทรายก็ไม่ได้ขาวเด่นแต่อย่างใดครับ ทรายสีปกติๆ ไม่ได้ขาวสวยแบบหาดหลายๆหาดย่านทะเลอันดามัน
โดยรวมๆ ผมว่าสีทรายและทะเลของหาดทรายขาวเกาะช้าง ก็น่าจะพอๆกับหาดที่สวยสุดของหัวหินครับ (หาดตั้งแต่เซนทาราแกรนด์หัวหิน ยาวไปถึงเขาตะเกียบน่ะครับ ถ้าเป็นย่านอื่นๆของหัวหิน หาดก็ไม่สวยเท่าไหร่)
และดูภาพล่างครับ แม้ทรายจะไม่ขาว แต่น้ำทะเลก็ใส น่าเล่น และดูตื้นปลอดภัยดีด้วย (แต่บริเวณทางเหนือของหาด ถ้าน้ำขึ้นจะชันมากครับ ขึ้นกับว่าส่วนไหนเหมือนกัน)
ภาพล่างนี้เป็นภาพสุดปลายทางใต้ของหาดทรายขาวครับ
ดูไปดูมา หลายๆคนอาจจะบอกว่า หาดที่สวยสุดของเกาะช้าง พอๆกับหัวหิน ยังงั้นไปเที่ยวหัวหินไม่ดีกว่าหรือ? เพราะหัวหินใกล้กว่ามาก(สมมุติว่าอยู่กทม.)
แต่จริงๆแล้ว มันมีจุดเด่นอยู่ครับ อย่างแรกคือที่พักของหาดทรายขาวนั้น มีหลากหลายครับ ที่เด่นที่สุดก็คือ ที่พักแบบบังกะโลหรือห้องพักซีวิวเนี่ย เค้าไม่ได้มีแต่ราคาแพงๆครับ มีหลากหลายตั้งแต่คล้ายๆเกสเฮาส์ ราคาไม่แพง ไปจนถึงดูหรูๆเลยก็มี ทำให้ที่นี่คนไม่รวยก็มีสิทธิได้ห้องซีวิวครับ แต่ถ้าเป็นหัวหิน ซีวิวบริเวณหาดสวยๆคงไม่มีราคาแบบที่หาดทรายขาวเกาะช้างแล้ว
อย่างที่สองก็คือ ตัวเกาะช้างเอง หาดทรายขาวอาจจะสวยที่สุด แต่อย่าลืมว่าเกาะบริวารของเกาะช้างนั้น สวยๆเด็ดๆ ไม่แพ้อันดามันเลยครับ!! เช่นหมู่เกาะรังที่เค้าไปดำน้ำกัน น้ำทะเลเขียวฟ้าใสสวยมากๆครับ พูดง่ายๆคือ เรื่องความสวยของทะเล ถ้าเหมารวมย่านทั้งย่านของเกาะช้าง ก็ต้องบอกว่าสวยกว่าหัวหินเยอะครับ (แต่ถ้าแค่บนเกาะช้าง ก็พอๆกัน)
อีกรีสอร์ทครับ ดูสิครับ บังกะโลบ้านพักเรียงรายหน้าชายหาดเลยครับ
พอช่วงเย็นๆน้ำก็จะเริ่มลด (ในช่วงที่ผมไปน่ะนะ)
เดินไปเดินมา ... อ๊ะ!! มีบางช่วงที่มีการปล่อยน้ำเสียลงทะเลด้วย น่าเสียดายนะครับ -*-
ก็เรียกว่ายังจัดการได้ไม่ดีพอในเรื่องนี้ครับ
ก็อยู่ชมจนพระอาทิตย์ตกเดินครับ
ตอนเย็นๆ คนจะเริ่มเยอะครับ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ แต่คนไทยก็ไม่ได้น้อยเท่าแถวภูเก็ตกระบี่ พอมีให้เห็นเยอะอยู่
ดูสิครับ ช่วงเย็นๆ ผู้คนออกมาทำกิจกรรม เล่นโน่นนี่นั่นหน้าชายหาดกันเยอะแยะครับ
พอเริ่มตกเย็น ร้านอาหารของรีสอร์ทต่างๆ ต่างก็ทะยอยขนเก้าอี้ โต๊ะ มาตั้งหน้าหาดกันหลายแห่งครับ
ส่วนผู้คนก็ได้ทะยอยกลับบ้าง หรือนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินบ้าง (หาดทรายขาวหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดังนั้น จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดิน(เอ๊ย ตกน้ำ) แทนพระอาทิตย์ขึ้น ก็ถือเป็นข้อดีที่ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาดูครับ)
ถ่ายมาดูสักภาพครับ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า
ร้านอาหารร้านนี้สวยดี ที่นั่งเป็นแบบ Bean Bag ครับ ชิวๆดี แนวนี้จะคล้ายๆเกาะเสม็ด
แบบเป็นโต๊ะอาหาร นั่งทานก็มี
พอเริ่มมืด ก็เดินกลับที่พักครับ ระหว่างทางก็ ... ร้านขายอาหารแผงลอยเยอะแยะครับ
ผมอาจจะไม่ได้ถ่ายรูปมาทั้งหมด แต่ที่เห็นก็มี โรติ เคบับ หมึกย่าง ทะเลย่าง ส้มตำ ไก่ย่าง ผลไม้ น้ำปั่น ผลไม้ปั่น กาแฟ ผัดไทย เยอะแยะครับ
พวกขายของที่ระลึกของฝากหรือเครื่องประดับต่างๆก็เยอะ
และหากใครติดความสะดวกสบาย เท่าที่เห็น ผมเห็นเซเว่น (7-11) จำนวน 2 แห่งที่หน้าหาดครับ แต่นอกจากเซเว่นแล้ว ก็มีมินิมาร์ทอีกหลายเจ้า ซึ่้งเท่าที่เห็นของขายแล้ว ก็ดูดีด้วยนะครับ ของเยอะน่าสนใจ

สรุปแล้ว เป็นย่านที่น่าพักครับ เพราะถึงจะบอกว่ามันคึกคัก แต่มันก็ไม่เถื่อนแบบพัทยา และคนก็ไม่เยอะเกินไป กำลังดีเลยครับ มันเลยได้สมดุลย์ทั้งธรรมชาติทางทะเล หาดสวยๆ ที่พักหลายแบบ รวมทั้งความคึกคัก แสงสีเสียง ที่ลงตัวเหมาะเจาะ ไม่มากไม่เกินไปครับ ^ ^

Lady Gaga - G.U.Y. MV ตัวนี้ จะทำหนังหรือจะทำ MV จ้ะเนี่ย?

สงสัยว่าเลดี้กาก้า จะไปแสดงหนังมาแล้วติดใจ (เรื่อง Machete Kills ที่ได้โผล่มาต้อยเดียว) หรือยังไม่สาแก่ใจกับการแสดงหนังก็ไม่รู้
มาครั้งนี้ กับ MV ตัวใหม่ในชื่อเพลงว่า G.U.Y. ของอัลบั้ม ARTPOP คุณเธอเลยทำมาซะยาวร่วม 11 นาที!! แล้วทำเป็นสไตล์หนัง มี Ending Credit มาซะยาวเลยเชียว
คือดูแล้ว ... คุณจะเข้าใจ ว่าทำไม Lady Gaga ถึงหายไปนานนัก หลังจากที่ปล่อยซิงเกิ้ล MV อย่าง Applause ออกมา
...
MV ตัวนี้ ดูๆไปก็คุ้มดีครับ เป็น MV เพลง G.U.Y. แต่ได้ฟังตั้งหลายเพลงแน่ะ โดยเฉพาะ Manicure ที่โผล่มาเต็มๆเพลงเลย สังเวยเพลงนี้ให้กับเครดิต -*- (มันเป็นเพลงที่ผมชอบมากๆในอัลบั้ม ARTPOP นะ น่าสงสารมันอ่ะ)
ถ้าไล่ตามเพลงก็คือ
ช่วงต้น จะเป็นเพลง ARTPOP ครับ แล้วเปลี่ยนเพลงเป็น Venus จากนั้นก็เข้า G.U.Y. เต็มเพลง ... แล้วปิดท้ายกับเครดิตด้วย Manicure

แต่ถ้าใครอยากจะฟังเฉพาะ G.U.Y. เต็มๆ ไม่ต้องมามัวดูหนังของเจ๊กาก้า เค้าก็มี MV ที่มีเฉพาะ G.U.Y. มาให้ชมและฟังกันอย่างไม่ต้องเสียอารมณ์ด้วยเช่นกันครับ ^ ^
ชมได้จากคลิปนี้จ้า
ก็เรียกว่าทำออกมาหารยอดวิวกันไปครับ ... ซึ่งก็ดีครับ เวลาเอาไปเปิดทางช่องหรือรายการเพลงต่างๆ ไม่ว่าจะ MTV หรืออะไรก็ตาม ควรจะเป็นเวอร์ชั่นเฉพาะเพลง G.U.Y. อ่ะนะ เดี๋ยวเค้าจะบ่นกันว่า MV เจ๊กาก้ากินพื้นที่เพลงชาวบ้านเค้าเอาได้ ^ ^ (แต่สำหรับ MV + Movie ด้านบน แฟนๆของเจ๊กาก้าคงเป็นปลื้มอ่ะนะ)

ปล.มาครั้งนี้ เจ๊กาก้าเน้นสวย เน้นดูดี ไม่บ้าไม่ประหลาด
คงทำเพราะชีเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับ Versace ไปเรียบร้อยโรงเรียนกาก้าไปแล้ว จะมาทำตัวไม่สวยไม่งามไม่เลิศ คงจะไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่า Versace ติดใจอะไรเจ๊กาก้านักหนัก ทั้งๆที่ในเพลง Donatella นั้น ไปเรียกเจ๊เจ้าแม่เวอร์ซาเช่ ว่านัง Bitch โคตรรวย เข้าซะเนี่ยสิ (แต่ดูสไตล์เจ้าของเวอร์ซาเช่แล้ว แกคงปลื้มที่ถูกเรียกเช่นนี้)

เต่านินจา กลับมาเขย่าโรงพร้อมตัวอย่างหนังแล้ว!!

เต่านินจา หรือ Ninja Turtles การ์ตูนดังสมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่ห่างหายไปนาน (แต่คาดว่าคนแก่คงจำได้ดี) บัดนี้ เหล่าเต่านินจากลับมาอีกแล้ว เป็นหนังโรงฟอร์มยักษ์เข้าฉายช่วงเดือนสิงหาคม 2014 นี้ครับ
โดยชื่อทีมสร้างและนักแสดงของเรื่องนี้ ต่างก็มีแต่เด็ดๆทั้งนั้นครับ!!
แต่เอาเป็นว่า ไปชมตัวอย่างหนังหรือ Trailer ของเรื่องกันก่อนดีกว่า ... อ้อ ชื่อเต็มๆคือ Teenage Mutant Ninja Turtles ครับ (แปลเป็นไทยตรงตัวว่า เต่านินจากลายพันธุ์วัยรุ่น -*-)
ส่วนข้อมูลทีมสร้างก็ตามนี้ครับ
วันเข้าฉายโรง: 8 สิงหาคม 2014
สตูดิโอ: พาราเมาท์พิกเจอร์
ผู้กำกับ: Jonathan Liebesman
สกรีนไรเตอร์: Josh Appelbaum, Andrew Nemec, Art Marcum, Matt Holloway, John Fusco
นักแสดง: Megan Fox (นางเอก Transformers ภาค 1-2), Alan Ritchson, Jeremy Howard, Pete Ploszek, Noel Fisher, Will Arnett, Danny Woodburn, William Fichtner

ปล.ใครจำชื่อของเต่านินจาทั้ง 4 ตัวไม่ได้ ก็จะรื้อฟื้นให้ (ส่วนเด็กๆไม่ต้องรื้อฟื้น ปล่อยให้คนแก่เค้าระลึกกันเถอะ)
1.ลีโอนาร์โด ตัวนี้ใช้ดาบคู่เป็นอาวุธ ผ้าคาดตาจะเป็นสีฟ้า
2.ไมเคิลแองเจโล ใช้กระบองสองท่อนเป็นอาวุธ ผ้าคาดตาจะเป็นสีส้ม (ตอนเด็กๆผมชอบตัวนี้ที่สุด แต่จำไม่ได้ ว่าทำไม -*-)
3.ราฟาเอล ใช้หอกสามง่ามเป็นอาวุธ ผ้าคาดตาสีแดง
4.โดนาเทลโล ใช้กระบองยาวเป็นอาวุธ ผ้าคาดตาสีม่วง
5.อาจารย์สปลินเตอร์ ตัวนี้ไม่ใช่นินจาเต่า แต่คงจำได้ ว่านินจาเต่ามีอาจารย์คนนึงที่เป็นหนู ซึ่งก็ชื่อสปลินเตอร์นี่ล่ะ ^ ^

รีวิว Alina Grande Hotel & Resort ที่เกาะช้างครับ ^ ^

หายจากการเขียนบล็อคไปพักหนึ่ง ก็เพราะไปเที่ยวเกาะช้างมาน่ะครับ แต่ไปเป็นหมู่คณะน่ะครับ หลักๆคือไปประชุมสัมมนา แล้วก็แวะเที่ยวด้วย ก็เลยถือโอกาสเก็บภาพบางส่วนจากเกาะช้างมาฝากกันหน่อย
ก็เริ่มจากโรงแรมที่พักก่อนแล้วกันครับ ผมพักที่โรงแรม Alina Grande Hotel & Resort (อลีน่าแกรนด์โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท) เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ย่านหาดทรายขาวของเกาะช้างครับ ซึ่งทำเลจัดว่าดี คึกคัก แต่ไม่ได้วุ่นวายแบบพัทยาหรือหาดป่าตองภูเก็ตหรอกครับ เรียกว่าสะดวกสบายจะดีกว่า

ตัวโรงแรม Alina Grande Hotel & Resort จะไม่ได้อยู่ติดกับชายหาดนะครับ มีถนนคั่น แต่ถ้าเป็นฝั่งของ Alina Resort (เจ้าเดียวกัน) จะติดชายหาดครับ ... แต่ก็ถือว่าเดินไปชายหาดง่ายๆเลยครับ ใกล้มากๆ
เข้ามาตรงส่วนของล็อบบี้ครับ ล็อบบี้จะเล็กๆครับ แล้วถัดไปก็จะเป็นโซนโต๊ะอาหารเลยครับ
ทางเดินก่่อนเข้าตัวห้องพัก
ห้องที่ผมพักคือห้อง 54 ชั้นสองครับ ถ้าหันหน้าเข้าโรงแรม ก็ต้องบอกว่าเป็นห้องทางฝั่งซ้ายของโรงแรม นอนหลับสบายไม่มีเสียงรบกวน แต่มีคนที่ไปประชุมด้วยเค้าบอกว่าห้องที่เค้าพักที่อยู่ทางขวา ชั้นล่างๆ เจอเสียงผับหรืออะไรประมาณนี้ รบกวนนอนลำบากครับ ... ดังนั้น ก่อนเข้าพัก ยังไงก็ต้องรีเควสท์ตรงนี้ไว้ด้วยนะครับ

ห้องที่พักเป็นเตียงใหญ่ 2 เตียง พักรวมกัน 4 คนครับ
หันไปมองทางทีวี โต๊ะ กระจก ก็ยังอยู่ในสภาพดี ดูใหม่สะอาดสะอ้านดี
หันไปมองทางตู้ ตู้เย็นอยู่ติดกับประตูเลยครับ
ไม่มีอะไรมากมายครับ มีน้ำ 4 ขวดสำหรับ 4 คนแล้วก็แก้วอีก 4 ใบ
ถัดไปทางระเบียงกันบ้าง ระเบียงมีโต๊ะกลาง 1 โต๊ะ แล้วก็เก้าอี้อีก 2 ตัวครับ
ระเบียงก็ชิวๆดีครับ หากถามว่ามองเห็นทะเลจากระเบียงไหม? ก็ต้องบอกว่ามองเห็นทะเล ซีวิวครับ แต่เห็นแบบเนี๊ยะ เหอๆๆ (ถ้าเป็นห้องด้านหน้าโรงแรม วิวจะดีกว่าครับ)
จากนั้นก็พาชมห้องน้ำ ก็สะอาดดี โอเค แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ
ส่วนใครถามหาสระว่ายน้ำ ... สระว่ายน้ำอยู่ทางด้านหลังโรงแรมครับ กว้างในระดับหนึ่ง ว่ายสะใจล่ะครับ ขนาดนั้น สำหรับผมถือว่าใช้ได้ครับ
แล้วก็บริเวณล็อบบี้ มีมินิมาร์ทขนาดย่อมๆอยู่ด้วย ผมได้เจลว่านหางจระเข้มาในราคา 145 บาทที่นี่ครับ ถูกกว่าข้างนอก (แต่ยี่ห้อดีป่าว อันนี้ไม่รู้นะ ^ ^)
และ ฝั่งถัดไป ตรงข้ามกับ Alina Grande Hotel & Resort ก็คือ Alina Resort ครับ (ตัดคำว่า Grande Hotel ออกไป) เป็นรีสอร์ทแนวบังกะโล ติดหน้าชายหาดทรายขาวเลยครับ
รวมๆแล้ว ส่วนตัวก็ว่าโรงแรมนี้โอเคดีครับ แต่ถ้าจะต้องการความหรูความสบายดีๆหน่อย ก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้น อาหารเช้าไม่เยอะครับ ไม่ได้เป็นบุฟเฟ่ต์ เค้าจัดไข่ดาว 2 ฟอง + ไส้กรอกอันเล็กๆ 4 ชั้น ให้คนละชุด ส่วนข้าวต้มเติมไม่อั้น แล้วก็มีกาแฟ อะไรพวกนี้ครับ
แต่ถ้าเน้นสะดวกนอนโอเค ก็ถือว่าผ่านเกณฑ์ล่ะครับ เป็นตัวเลือกที่ใช้ได้ครับ สำหรับ Alina Grande Hotel & Resort แห่งนี้ ^ ^

รีวิว Story Cup ร้านกาแฟ ร้านอาหาร เขาค้อ ^ ^

อีกแหล่งท่องเที่ยวของเขาค้อครับ สำหรับ Story Cup (สตอรี่คัพ) ที่นี่เป็นร้านกาแฟ ร้านอาหาร แต่มันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวกลายๆได้เลยครับ เพราะเค้าทำจุดให้ถ่ายรูปเยอะแยะเลย แล้วก็ทำออกมาได้ดี สวยใช้ได้เลยล่ะครับ
ส่วนตัวได้ใช้บริการที่นี่ทั้งโซนร้านกาแฟ (มีเบเกอร์รี่ด้วย) แล้วก็ทั้งโซนร้านอาหารเลยครับ ^ ^

ภาพแรก หน้าร้าน Story Cup เลยครับ ตรงนี้จะเป็นส่วนของร้านกาแฟครับ
ทางเดินขึ้นไปบนร้าน
ถอยออกมาอีก ... สวนหน้าร้าน Story Cup ครับ เค้าจัดเป็นทุ่งสตรอว์เบอร์รี่ลูกใหญ่ๆ
สวนเดียวกันกับรูปสตรอว์เบอร์รี่ด้านบน แต่ถัดเข้ามา ก็จะมีพวกนี้น่ารักๆให้นั่งเล่นถ่ายรูปครับ มีม้านั่งด้วย
อีกจุดที่เป็นทางเดินขึ้นไปร้านสตอรี่คัพ ... มีคำว่า สตรอเบอรี่ (แล้วกากบาทคำว่าเบอร์ออก ... อ่านว่าสตรอรี่)
บรรยากาศด้านในของร้านกาแฟ กินดีครับ ชงใช้ได้ เข้มปรี๊ดมาเลยครับ ผมไม่ชอบเข้มๆแบบนั้นมาก อุตส่าห์สั่งลาเต้ แต่ก็เข้มอยู่ดี ... อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะบอกว่าไม่ชอบ แต่คอกาแฟแท้ๆต้องชอบแน่นอนครับ
มีขนมเค้กและอะไรอื่นๆอยู่ด้วย
ตรงนี้มีมาการองขายครับ มีสองไซส์ ใหญ่กับเล็ก
และ พานาคอตต้าครับ เมนูนี้ผมได้ซื้อชิมด้วยครับ
แล้วก็มีของฝากของที่ระลึกขายด้วย มีพวกพวงกุญแจ แก้ว ตุ๊กตา และผลิตภัณฑ์ของเขาค้อต่างๆ
ภาพนี้เป็นมุมนั่งจิบกาแฟส่วนหนึ่งของบริเวณภายในร้านสตอรี่คัพครับ (ร้านเค้าจะมีมุมนั่งทานหลักๆ 3 มุม คือในร้าน นอกร้าน และบนดาดฟ้าของร้าน)
อีกมุมในร้าน ตรงนี้เป็นด้านหน้าตรงประตูกลางเลยครับ
อ่ะ ได้เวลาชิมซะที ผมสั่งอิตาเลี่ยนโซดา กับพานาคอตต้ามาครับ พานาคอตต้าอร่อย อิตาเลี่ยนโซดาก็อร่อย (ส่วนกาแฟได้แวะชิมขากลับ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ แต่อย่างที่บอกไปแล้ว เข้มมากๆครับ)

ด้านหน้าร้าน ก็มีจุดนั่งทานกาแฟด้วย แต่ตรงนี้เหมาะกับช่วงเย็นครับ เพราะถ้าเป็นตอนเย็น บริเวณนี้จะไม่โดนแดด (บ่ายแก่ๆก็น่าจะไหว)
ตรงนี้เป็นประตูทางด้านซ้ายของตัวร้านครับ เดินออกมาก็จะเจอห้องน้ำ และจุดนั่งทานกาแฟสวยๆอีกด้วย
แต่ถ้าเดินออกมาทางประตูทางขวา จะเจอมุมนี้ครับ มุมนี้จะร่มรื่นกว่า
ตรงนี้เป็นมุมแอบติดกับตัวร้าน (ผมมานั่งทานกาแฟกันตรงนี้แหละ เพราะตรงนี้เย็นกว่าที่อื่นๆ แบบว่าผมไปเที่ยวเดือนมีนาคมน่ะครับ มันร้อนแล้ว ไม่ได้ไปตอนฤดูหนาว พ.ย. ธ.ค. อะไรอย่างคนอื่นเค้า ^ ^")
อีกมุมครับ (ตรงนี้จะเห็นร้านอาหารด้วย)
ตัดกลับมา ในส่วนของประตูทางซ้ายของร้านครับ เปิดออกมาจะเจอมุมนี้ มุมนี้วิวกึ่งพาโนรามาครับ สวยมาก แต่ก็ร้อนมากเช่นกัน ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว ตรงนี้จะต้องเป็นมุมฮิตของร้าน Story Cup แน่ๆครับ
ตรงนี้วิวจะเปิดโล่ง สวยหน่อย เหมาะกับมานั่งจิบกาแฟพร้อมกับความหนาวเย็น แต่ถ้าฤดูร้อน คงต้องขอบายมุมนี้ครับ
มุมเดินครับ จุดบังแดดคือต้นสนที่เห็น ซึ่งก็บังไม่ได้มากนัก
และ ของฮิตที่รีสอร์ทหรือร้านอาหารฮิปๆ จะต้องมี!!
นั่นก็คือ ที่นั่งแขวนรังนกนั่นเอง ตอนนี้กำลังฮิตมาก ที่ไหนไม่มีนี่แบบว่าเรียกได้ว่าเอาท์
หลังจากพาชมในร้าน นอกร้านแล้ว ก็เตรียมตัวไปต่อที่ดาดฟ้ากันครับ เค้ามีหลายมุมจริงๆ (บอกแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ คนที่อยากหาสถานที่ถ่ายรูปสวยๆ ต้องแวะเลยครับ)
ขึ้นมาบนดาดฟ้าแล้วจ้า ตรงนี้เงียบเหงามาก เพราะโดนแดดเต็มๆ (แต่ถ้าเดือนธันวาคมคงจะเป็นที่นิยม)
แต่ตรงนี้ แม้จะเป็นดาดฟ้า แต่ก็มีร่มให้นะจ้ะ ^ ^
มองลงมาจากดาดฟ้า ... อ๊ะ มีสวนอยู่ไกลๆ ... สวนนั้นน่ะ ของร้านสตอรี่คัพนะครับ ^ ^
นี่คือส่วนของสวนครับ ทำที่ไว้ให้ถ่ายรูปมากมายเลย เข้าใจทำครับ รู้ใจสาวๆที่มาเที่ยว ^ ^
อย่างไรก็ตาม ในรูปอาจจะดูแล้งๆหน่อย ก็คงเป็นเพราะมันแล้งจริงๆล่ะครับ เพราะร้อนมากๆ แต่ผมว่าพอเข้าช่วงหลังฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงหน้าหนาวที่เป็นช่วงฮิตของเขาค้อ ตรงนี้จะเขียว และสวยมากแน่ๆ
เก้าอี้ให้นั่งถ่ายรูปเล่นจ้า
... จบส่วนของร้านกาแฟแล้วครับ
ก็ขอพาต่อไปส่วนของร้านอาหารเลยละกัน
อันนี้เป็นจุดนั่งถ่ายรูปเล่นหน้าร้านครับ (คงไม่ได้เป็นที่นั่งสำหรับทานอาหารจริงๆหรอก)
เดินขึ้นไปบนร้านกันเลยดีกว่า
อ๊ะๆ ด้านหน้ามีดอกอะไรม่วงๆเยอะเลย (จำชื่อไม่ได้ เคยรู้จักนะ เจ้าดอกไม้เนี่ย เมื่อก่อนเคยเข้าใจผิดว่ามันคือลาเวนเดอร์)
มาถ่ายดอกไม้นี้แบบซูมๆใกล้ๆ ก็ดูสวยดีนะ (ถ่ายรูปให้ติดแค่คนครึ่งตัวแล้วก็ดอกไม้นี่เท่านั้น ออกมาดูดีมากครับ)
เอ้า ได้ฤกษ์เข้าร้านอาหารซะที
ร้านนี้เคยเห็นรีวิวเจ้าอื่น ถ่ายมาสวยมาก แต่วันที่ผมไป มันเก่าลงเยอะเหมือนกัน แล้วก็ดูไม่เนี้ยบมาก แต่โดยรวมก็ถือว่ายังสวยอยู่ครับ (ปัดกวาดเช็ดถูนิดนึงก็คงจะดูดีขึ้นมาทันที)
วิวที่จะได้เห็นจากในร้านอาหารครับ
อย่างไรก็ตาม ... ขอบอกว่าอาหารเค้าอร่อยอ่ะ ใช้ได้เลยครับ
สั่งเห็ดหอมอะไรสักอย่างมา ลืมไปแล้ว อร่อยมาก อีกอันคือต้มแซ่บกระดูกหมู
ก็จบการรีวิว Story Cup จ้า
ผมว่าน่าแวะนะ ... จะบอกว่าต้องแวะเลยก็ว่าได้
เพราะเอาเข้าจริงๆ เขาค้อมันไม่ได้มีที่เที่ยวอะไรเยอะแยะมากมายนักครับ เที่ยววันนึงให้หมดก็ยังไหว (แต่ถ้าชิวๆหน่อยก็สองวันครับ) ดังนั้น ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ลองแวะดูครับ สำหรับ Story Cup อีกสถานที่เที่ยวของเขาค้อแห่งนี้ ^ ^